ดร.โจเซฟ วาย. แชง (Joseph Y. Chang, Ph.D.) หรือที่รู้จักกันดีใน นู สกิน ว่า "โจ" ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ (Chief Scientific Officer) และรองประธานบริหารฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในปี 2006 ด้วยประสบการณ์กว่า 35 ปีในอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โจ มีความรู้ลึกซึ้งในทั้งสองภาคส่วน ก่อนที่ นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส จะเข้าซื้อกิจการ ฟาร์มาเน็กซ์ ในปี 1998 เขาเคยดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายการศึกษาทางคลินิกและเภสัชวิทยาของ ฟาร์มาเน็กซ์

ก่อนหน้าที่จะร่วมงานกับ ฟาร์มาเน็กซ์ โจ เคยดำรงตำแหน่งประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของ Osteoarthritis Sciences, Inc. ระหว่างปี 1991 ถึง 1994 และของ Binary Therapeutics, Inc. ระหว่างปี 1994 ถึง 1997 นอกจากนี้ เขายังเคยดำรงตำแหน่งบริหารด้านการวิจัยในบริษัทเวชภัณฑ์และเทคโนโลยีชีวภาพต่าง ๆ เช่น Wyeth-Ayerst และ Rhone Poulenc Rorer ซึ่งมุ่งเน้นการวิจัยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติสำหรับโรคข้ออักเสบและการรักษาภาวะภูมิคุ้มกันเกิน เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี (B.S.) จาก Portsmouth University และปริญญาเอก (Ph.D.) จาก University of London

ดร.เฮเลน แนกส์ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับโลกของ Nu Skin Enterprises โดยเธอรับผิดชอบในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิว อุปกรณ์เพื่อความงาม และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เธอเป็นผู้นำทีมวิจัยและพัฒนาระดับโลก ดูแลผลิตภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอปัจจุบัน และขับเคลื่อนนวัตกรรมรวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เฮเลน ยังดำรงตำแหน่งประธานกลุ่ม Women Rising ซึ่งเป็นกลุ่มสนับสนุนพนักงานของ นู สกิน ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมศักยภาพของผู้หญิง ทั้งในที่ทำงานและในชุมชนอีกด้วย

เฮเลน มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปีในด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านชีวเคมีและเภสัชวิทยา (BS in Biochemistry and Pharmacology) ปริญญาเอก (Ph.D.) จากภาควิชาชีวเคมีและชีววิทยาระดับโมเลกุล มหาวิทยาลัยลีดส์ ประเทศอังกฤษ และปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) จากมหาวิทยาลัยวอร์ริก สหราชอาณาจักร เธอเริ่มต้นอาชีพในฐานะนักชีวเคมีวิจัยในแผนกผิวหนังของโรงพยาบาล Leeds General Infirmary จากนั้นได้ร่วมงานกับบริษัท Unilever ทั้งในสหรัฐอเมริกาและภูมิภาคเอเชีย เฮเลน ยังมีผลงานตีพิมพ์ทางวิชาการหลายฉบับ และเป็นเจ้าของสิทธิบัตรด้านวิทยาศาสตร์อีกมากมาย

ดร.เชลลี่ เฮสเตอร์ (Ph.D., R.D.) เป็นนักวิทยาศาสตร์อาวุโสในทีมวิจัยผลิตภัณฑ์ระดับโลกของ Pharmanex® ตั้งแต่ปี 2013 ก่อนร่วมงานกับ Nu Skin เธอเคยเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอก (Post-doctoral Fellow) ที่ศูนย์วิจัยเด็ก Herman B Wells Center for Pediatric Research ในมหาวิทยาลัย Indiana และ Purdue University เชลลี่ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านอาหาร โภชนาการ และการกำหนดอาหาร (Food, Nutrition and Dietetics) จากมหาวิทยาลัย Purdue ในเมืองเวสต์ลาฟาแยตต์ รัฐอินเดียนา สหรัฐอเมริกา

เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก (Ph.D.) จากมหาวิทยาลัย University of Illinois at Urbana-Champaign เมืองเออร์บานา รัฐอิลลินอยส์ โดยการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของเธอได้รับทุนสนับสนุนจาก Ruth L. Kirschstein-National Service Research Award (NSRA) เชลลี่ ยังเป็นนักกำหนดอาหารที่ได้รับใบรับรอง (Registered Dietitian) จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา เธอได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารวิชาการหลายฉบับ และนำเสนอผลงานของเธอในที่ประชุมวิชาการระดับประเทศ เธอเป็นสมาชิกของ American Society for Nutrition และ Academy of Nutrition and Dietetics ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำด้านโภชนาการและการกำหนดอาหารในสหรัฐอเมริกา

ดร. ยี่ปิง เหริน เป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ศูนย์วิจัยการชะลอวัยของ นู สกิน ก่อนหน้านี้เธอเคยทำงานที่โรงพยาบาล Ruijin และมีประสบการณ์การวิจัยในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น Philips Asia Research Center, GSK R&D China และ Gene Group Holdings ในช่วงเวลานั้น เธอได้ทุ่มเทให้กับการแปลงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงให้กลายเป็นการปฏิบัติทางคลินิกและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ปัจจุบัน ยี่ปิง เป็นผู้นำทีมวิจัยและพัฒนาของ นู สกิน ในประเทศจีน โดยมุ่งเน้นการรวบรวมศาสตร์การแพทย์แผนจีนดั้งเดิม วิทยาศาสตร์การชะลอวัย และวิทยาศาสตร์ยีน เพื่อพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและสามารถแข่งขันได้สำหรับ นู สกิน

เธอได้รับปริญญาเอกด้านชีววิทยาเซลล์จากสถาบันวิทยาศาสตร์สุขภาพ, Academy of Science ของจีน เธอมีประสบการณ์ในหลายสาขา เช่น เคมีชีวภาพ, ชีววิทยาระดับโมเลกุล, ชีววิทยาเซลล์ และภูมิคุ้มกันวิทยา ด้วยประสบการณ์การวิจัยกว่า 20 ปี เธอได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัย 12 ฉบับในวารสารที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ และมีส่วนร่วมในการคิดค้นและยื่นขอสิทธิบัตรทั้งในระดับนานาชาติและจีนหลายฉบับ